ปัจจุบันผมมีคอมพิวเตอร์ Windows 7 อยู่ในความดูแลประมาณ 50 เครื่อง ดังนั้นเพื่อประเมินว่าควรจะอัพเกรดเป็น Windows 10 ซึ่งเป็นเวอร์ชันใหม่ล่าสุดหรือไม่อย่างไร ผมจึงได้ทดลองทำการอัพเกรด Windows 7 Enterprise เป็น Windows 10 Enterprise เพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับ 1. ข้อมูลส่วนตัว (Personal files) ของผู้ใช้ 2. การตั้งค่าระบบ (Windows settings) 3. เดสก์ท็อปแอปหรือแอปแบบเดิม (Apps) และ 4. สถานะการเปิดใช้งาน Windows (Activated) โดยมีรายละเอียดและผลลัพธ์ดังนี้
หมายเหตุ: สำหรับผู้ใช้ทั่วไปซึ่งใช้ Windows 7 หรือ 8.1 รุ่น Home หรือ Pro สามารถอ่าน วิธีการอัพเกรดเป็น Windows 10 Pro
ดาวน์โหลด Windows 10 Enterprise ได้ที่ไหน
การอัพเกรดเป็น Windows 10 Enterprise นั้นไม่สามารถใช้ Windows Update หรือ Media creation tool เหมือนกับที่ทำกับเวอร์ชัน Pro แต่ต้องใช้ไฟล์ไอเอสโออิมเมจ (ISO image) ซึ่งดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ ไมโครซอฟท์ VLSC
กรณีที่คุณไม่มี SA กับไมโครซอฟท์ คุณสามารถดาวน์โหลดตัวทดลองใช้ 90 วันของ Windows 10 Enterprise ได้ที่เว็บไซต์ TechNet Evaluation Center (ต้องใช้ Microsoft Account หรือ MSA ได้แก่บัญชี Outlook หรือ Hotmail หรือบริการอื่นๆ ของไมโครซอฟท์)
ความต้องการระบบของ Windows 10
Windows 10 มีความต้องการระบบขั้นต่ำดังนี้
- ซีพียู: ซีพียูความเร็ว 1 GHz หรือเร็วกว่า
- หน่วยความจำ: หน่วยความจำอย่างน้อย 1 GB สำหรับรุ่น 32-บิต และ 2 GB สำหรับรุ่น 64-บิต
- พื้นที่ฮาร์ดดิสก์: พื้นที่ฮาร์ดดิสก์อย่างต่ำ 16 GB สำหรับรุ่น32-บิต และ 20 GB สำหรับรุ่น 64-บิต
- กราฟิกการ์ด: อุปกรณ์กราฟิกรองรับ DirectX 9 พร้อมไดรเวอร์ Windows Display Driver Model (WDDM) 1.0
- จอแสดงผล: 800×600
ถ้าคุณต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมให้คุณเข้าไปอ่านได้ ที่นี่
อัพเกรด Windows 7 Enterprise เป็น Windows 10 Enterprise (in-place)
เพื่อให้เห็นภาพระบบที่ผมใช้อ้างอิง ด้านล่างคือรายละเอียดครับ
- คอมพิวเตอร์ที่ใช้อัพเกรดเป็นคอมพิวเตอร์เสมือน (Virtual Machine) บน Windows Server 2012 R2 Hyper-V
- คอมพิวเตอร์ที่ใช้อัพเกรดเป็น Windows 7 Enterprise Edition (with SP1) รุ่น 32-บิต
- อัพเกรดโดยใช้ไฟล์ไอเอสโออิมเมจ (เข้าไปตั้งค่าในหน้า Settings ของคอมพิวเตอร์เสมือน)
วิธีการอัพเกรด Windows 7 Enterprise เป็น Windows 10 Enterprise แบบ in-place มีขั้นตอนดังต่อไปนี้
1. ทำการเริ่มต้นคอมพิวเตอร์เสมือนด้วย Windows 7 ตามปกติ เมื่อเครื่องพร้อมใช้งานให้ลงชื่อเข้าระบบ จากนั้นให้เปิดไปยังไดรฟ์ของไฟล์ไอเอสโออิมเมจ (กรณีการอัพเกรดเครื่องคอมพิวเตอร์จริงให้คุณทำการเม้าท์ไฟล์ไอเอสโออิมเมจหรือใช้แฟลชไดรฟ์หรือดีวีดีติดตั้ง Windows 10 Enterprise) จากนั้นดับเบิลคลิกไฟล์ Setup.exe บนหน้า User Account Control (UAC) ให้คลิก Yes (หรือป้อนชื่อบัญชีและรหัสผ่านของผู้ใช้กลุ่มผู้ดูแลระบบแล้วแต่กรณี)
2. บนหน้า Get important updates ให้เลือก Download and install updates (recommended) เสร็จแล้วคลิก Next
รูปที่ 1
3. บนหน้า License terms (อย่าลืมอ่านและทำความเข้าใจกับข้อตกลงการใช้งาน) ให้คลิก Accept
รูปที่2
รูปที่3
4. บนหน้า Ready to install ให้ตรวจสอบความถูกต้องหากมีข้อผิดพลาดให้คลิกปุ่ม Back เพื่อทำการแก้ไข หากไม่มีให้คลิกปุ่ม Install เพื่อเริ่มการอัพเกรด Windows10 หากต้องการเปลี่ยนแปลงข้อมูลที่จะเก็บไว้ (Windows settings, Personal files และ Apps) ให้คลิก Change what to keep แล้วเลือกค่าที่ต้องการ แล้วทำตามคำสั่งบนจอ
รูปที่ 4
รูปที่ 5
รูปที่ 6
5. บนหน้า Hi there, welcome back! ให้ป้อนรัหัสผ่านของผู้ใช้ที่ใช้ลงชื่อเข้า Windows 7 (ผู้ใช้ที่รัน setup.exe) เสร็จแล้วคลิก Next
รูปที่ 7
6. บนหน้า Get going fast เป็นหน้าสำหรับเลือกการตั้งค่าระบบ Windows ซึ่งคุณมี 2 ตัวเลือก คือ Use express settings ซึ่งเป็นการตั้งค่าระบบตามที่ไมโครซอฟท์กำหนดไว้ล่วงหน้า (ตั้งค่าแบบรวดเร็ว) และ Customize ซึ่งให้ผู้ใช้เลือกรูปแบบการทำงานด้วยตนเอง ให้คุณเลือกตามความเหมาะสม ในที่นี้ผมเลือกแบบ Use express settings เพื่อความรวดเร็ว แต่ถ้าคุณต้องการกำหนดการตั้งค่าระบบด้วยตนเองให้เลือก Customize แล้วดำเนินตามคำสั่งบนจอจนแล้วเสร็จ
รูปที่ 8
7. บนหน้า New apps for the new Windows ให้คลิก Next
รูปที่ 9
รูปที่ 10
8. จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการจัดเตรียมระบบตามการตั้งค่าด้านบน ติดตั้งแอป และ ฯลฯ (ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาทำงานหลายนาที) เสร็จแล้วก็จะปรากฏหน้าเดสก์ท็อป (Desktop) ซึ่งมีภาพฉากหลังเป็น Hero Desktop (รูปที่ 15) ถึงตรงนี้เครื่องพีซีของคุณพร้อมแล้วสำหรับการใช้งาน
รูปที่ 11
หลังจากทำการติดตั้ง Windows 10 Enterprise แล้วเสร็จจะได้หน้าจอเดสก์ท็อปซึ่งมีภาพฉากหลังเป็น Hero Desktop ดังรูปด้านล่าง
รูปที่ 12
ผลการทำงาน
ดังที่บอกไปแล้วว่าการอัพเกรด Windows 7 เป็น Windows 10 ครั้งนี้ ผมให้ความสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับ 1. ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ 2. การตั้งค่าระบบ 3. เดสก์ท็อปแอป และ 4. สถานะการเปิดใช้งาน ซึ่งผลที่ได้จะขึ้นกับการเลือกในขั้นตอนที่ 4 โดยกรณีที่เลือกอัพเกรดแบบ in-place* จะได้ผลดังนี้ครับ
- สามารถเลือกย้ายข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ไปอยู่บนระบบใหม่ได้
- หลังการอัพเกรด การตั้งค่าระบบยังคงเหมือนเดิม
- เดสก์ท็อปแอปที่ติดตั้งบน Windows 7 คือ Firefox, Chrome ยังสามารถใช้งานได้ตามปกติ
- สถานะการเปิดใช้งาน Windows 10 เป็น Windows ยังไม่เปิดใช้งาน (Windows is not activated)
รูปที่ 13
รูปที่ 14
สรุป
การอัพเกรด Windows 7 Enterprise เป็น Windows 10 Enterprise สามารถย้ายข้อมูลส่วนตัวไปบนระบบใหม่ได้ และใช้การตั้งค่าระบบดิมได้ ส่วนเดสก์ท็อปแอป (ส่วนใหญ่) ยังสามารถใช้งานได้หลังการอัพเกรด อย่างไรก็ตาม เนื่องจากหลังการสถานะการเปิดใช้งานจะเป็น Windows is not activated ดังนั้น คุณต้องวางแผนเรื่องการเปิดใช้งาน Windows ไว้รองรับว่าจะใช้แบบ MAK หรือ KMS หากใช้แบบหลังคุณต้องมี KMS server และต้องมีเครื่อง Windows 10 อย่างน้อย 25 เครื่องเพื่อให้การเปิดใช้งานมีผลครับ
*การอัพเกรดมี 3 แบบ คือ in-place upgrade จะเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การตั้งค่าระบบ และเดสก์ท็อปแอปไว้, partial migration จะเก็บไว้เฉพาะข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ ส่วน clean install ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ การตั้งค่าระบบ และเดสก์ท็อปแอปจะถูกลบออกทั้งหมด
ข้อมูลอ้างอิง
Windows 10 System Requirements