สวัสดีครับ ผมเคยถามผู้ใช้ว่าคอมพิวเตอร์ที่คุณใช้เป็นระบบปฏิบัติอะไร? ซึ่งผู้ใช้ส่วนใหญ่คงจะตอบได้ถูกต้องว่าใช้ Windows แต่เมื่อผมถามเจาะลึกลงไปว่า Windows ที่ใช้เป็นรุ่นไหน? เวอร์ชันอะไร? ปรากฏว่ามีน้อยคนที่ตอบได้ถูกต้อง ทั้งๆ ที่วิธีการดูข้อมูลเวอร์ชัน Windows นั้นไม่ได้ยุ่งยากและไม่มีอะไรซับซ้อนแต่ผู้ใช้ทั่วไปไม่ค่อยทราบ ดังนั้นวันนี้ผมจึงมีวิธีการดูข้อมูลเวอร์ชัน รุ่น และรายละเอียดอื่นๆ ของ Windows มาฝากผู้ที่ยังไม่ทราบเพื่อที่จะได้นำไปใช้ประโยชน์ต่อไปครับ
การดูข้อมูลเวอร์ชันและรุ่นของ Windows นั้นทำได้มากมายหลายวิธีด้วยกัน ซึ่งในบทความนี้ผมรวบรวมมาฝาก 4 วิธี ตามรายละเอียดด้านล่างครับ
วิธีที่ 1: หน้า System
วิธีแรกเป็นการดูจากหน้า System ซึ่งจะบอกรายละเอียดต่างๆ ของ Windows เช่น เวอร์ชันและรุ่นของ Windows และยังบอกรายละเอียดอื่นๆ เช่น ประเภทระบบว่าเป็น 32-บิต หรือ 64-บิต รุ่นซีพียู จำนวนหน่วยความจำ และ ฯลฯ ดังรูปด้านล่าง
วิธีการเปิดหน้า System นั้นได้หลายแบบ เช่น
- Windows ทุกเวอร์ชัน: กดแป้นพิมพ์ลัด Windows + Break
- Windows 7 และเก่ากว่า: คลิกปุ่ม Start จากนั้นคลิกขวาบน System แล้วคลิก Properties
- Windows 7 และเก่ากว่า: คลิกขวาบนไอคอน Computer บนเดสก์ท็อปแล้วคลิก Properties
- Windows 8/8.1: กดแป้นพิมพ์ลัด Windows + C คลิก Settings คลิก PC Info
- Windows 8 คลิกขวาบริเวณมุมจอด้านล่างซ้ายแล้วคลิก System
- Windows 8.1/10 คลิกขวาบนปุ่ม Start แล้วคลิก System
- Windows 8/8.1/10 กดแป้นพิมพ์ลัด Windows + X แล้วคลิก System
- Windows 8/8.1/10 คลิกขวาบนไอคอน This PC บนเดสก์ท็อปแล้วคลิก Properties
นั้นคือถ้าใครอยากรู้รายละเอียดแนะนำให้ใช้วิธีการนี้ครับ
หน้า System
วิธีที่ 2: คำสั่ง MSinfo32.exe
ถ้าคุณต้องการดูรายละเอียดเกี่ยวกับ Windows แบบเจาะลึกทั้งด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ และวิธีการที่ 1 ให้ข้อมูลไม่ละเอียดเพียงพอสำหรับคุณ ให้คุณเข้าไปดูจากหน้า System Information ซึ่งจะทำการแสดงข้อมูลระบบที่ครอบคลุมทั้งด้าน ฮาร์ดแวร์ คอมโพเนนต์ระบบ และสภาพแวดล้อมด้านซอฟต์แวร์ และ ฯลฯ
การเปิดหน้า System Information นั้นใช้คำสั่ง MSINFO32.EXE โดยการกดแป้นพิมพ์ลัด Windows + R แล้วพิมพ์ MSINFO32 ในช่อง Open แล้วคลิก OK จะได้หน้าต่างดังรูปด้านล่าง
หน้า System Information
วิธีที่ 3: คำสั่ง Systeminfo.exe
ถ้าคุณต้องการดูรายละเอียด Windows แบบเจาะลึกทั้งด้านซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ ด้วยการใช้บรรทัดคำสั่ง คุณสามารถทำได้โดยใช้คำสั่ง Systeminfo.exe ตามเวอร์ชัน Windows ที่ใช้งานดังนี้
1. เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร้อมท์ ตามเวอร์ชัน Windows ที่คุณใช้งานดังนี้
Windows 7 และเก่ากว่า:
คลิกปุ่ม Start จากนั้นคลิก All Programs คลิก Accessories คลิก Command Prompt
Windows 8:
คลิกขวาบริเวณมุมจอด้านล่างซ้ายแล้วคลิก Command Prompt
Windows 8.1/10:
คลิกขวาบนปุ่ม Start แล้วคลิก Command Prompt
2. ที่หน้าคอมมานพร้อมท์พิมพ์ systeninfo เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter จะได้หน้าต่างดังรูปด้านล่าง
หน้า systeninfo
วิธีที่ 4: คำสั่ง Winver.exe
ถ้าคุณต้องการดูแค่ชื่อและรุ่นของ Windows คุณสามารถทำได้ง่ายๆ โดยใช้คำสั่ง WINVER.EXE ตามเวอร์ชัน Windows ที่ใช้งานดังนี้
1. เปิดหน้าต่างคอมมานด์พร้อมท์ ตามเวอร์ชัน Windows ที่คุณใช้งานดังนี้
Windows XP และเก่ากว่า:
คลิกปุ่ม Start จากนั้นคลิก Run แล้วพิมพ์ WINVER ในช่อง Open เสร็จแล้วคลิก OK
Windows 7:
คลิกปุ่ม Start จากนั้นแล้วพิมพ์ WINVER ในช่อง Search programs and files เสร็จแล้วกดปุ่ม Enter
Windows 8:
คลิกขวาบริเวณมุมจอด้านล่างซ้ายแล้วคลิก Command Prompt
Windows 8.1/10:
คลิกขวาบนปุ่ม Start แล้วคลิก Run แล้วพิมพ์ WINVER ในช่อง Open เสร็จแล้วคลิก OK
หน้า About Windows
วิธีที่ 5: ใช้ Settings
สำหรับผู้ใช้ Windows 8.1 และ 10 คุณสามารถดูรายละเอียดของ Windows เช่น เวอร์ชันและรุ่นของ Windows และข้อมูลอื่นๆ เช่น ประเภทระบบว่าเป็น 32-บิต หรือ 64-บิต รุ่นซีพียู จำนวนหน่วยความจำ และ ฯลฯ ได้จาก Settings ซึ่งเป็นแผงควบคุมแบบใหม่ได้ตามขั้นตอนดังนี้
Windows 8.1:
กดแป้นพิมพ์ลัด Windows + C คลิก Settings คลิก Change PC settings คลิก PC and Devices จากนั้นคลิก PC info จะได้หน้าต่างดังรูปด้านล่าง
PC info (Windows 8.1)
Windows 10:
คลิก Start คลิก Settings คลิก System จากนั้นคลิก About จะได้หน้าต่างดังรูปด้านล่าง
About (Windows 10)
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการดูรายละเอียดเวอร์ชันและรุ่นของ Windows สำหรับวิธีที่ผมใช้บ่อยที่สุดคือ การกดแป้นพิมพ์ลัด Windows + Break ครับ แต่คุณจะเลือกใช้วิธีการใดก็แล้วแต่ความสะดวก (ถ้าจะพูดให้ทันสมัยหน่อยก็คือ เอาวิธีที่… คุณสบายใจเลย) ครับ
แหล่งข้อมูล
Which Windows operating system am I running?
ประวัติการปรับปรุง
28 พฤศจิกายน 25558: เพิ่มหัวข้อ “วิธีที่ 5: ใช้ Settings”